ติดต่อโฆษณา ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ เชิญร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเชิญทดสอบรถ ติดต่อ Car4YouMag

Car4YouMag

Bentley Motors ประเดิมจัด Global Media Drive พลังงานสะอาด เปิดประสบการณ์ New Continental GT ด้วยเชื้อเพลิง eFuels ครั้งแรกของโลก


 

Bentley Motors (เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส) เปิดประสบการณ์การขับขี่ New Continental GT Speed ด้วยการใช้เชื้อเพลิง eFuels เป็นครั้งแรกของโลกให้แก่สื่อมวลชนกว่า 157 รายในกิจกรรม Global Media Drive ที่เป็นการเปิดตัว New Continental GT Speed Coupe และ Convertible เจเนอเรชันที่ 4 ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกิจกรรมทดลองขับในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ eFuels เป็นเชื้อเพลิงในการสาธิตการทดลองขับเพื่อให้เห็นถึงการใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีอยู่ในปัจจุบัน และตอกย้ำพันธกิจของแบรนด์ในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่มีมาอย่างต่อเนื่อง

https://www.overclockzone.com/_admin/covercontent/10812-1732096930.jpg

eFuel คือ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ 100% ที่พัฒนาโดยกลุ่มพันธมิตรระหว่างประเทศที่นำโดย Highly Innovative Fuels (HIF) Global ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Porsche และได้รับการผลิตขึ้นโดยโรงงาน Haru Oni ในภูมิภาค Magallanes ของประเทศชิลี ในส่วนของกระบวนการผลิต เชื้อเพลิงจะผ่านกระบวนการกลั่นและผสมกับไฮโดรเจนที่มาจากการทำให้น้ำเป็นอิเล็กโทรไลต์เพื่อสร้างเมทานอลที่สามารถกลั่นเป็นน้ำมันเบนซินได้ สำหรับเชื้อเพลิงที่เบนท์ลีย์ใช้ในงาน Global Media Drive คือ R75 – eFuel 75% และน้ำมันเบนซินธรรมดา 25% ซึ่งได้ช่วยลดการปล่อยมลพิษจากท่อไอเสียได้อย่างมาก 

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-8-1024x683-1.jpg

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-11-1024x683-1.jpg

โดยเชื้อเพลิงสะอาดนี้ได้ถูกใช้ในการทดลองขับรุ่น new Continental GT Speed และใช้สำหรับรถยนต์สนับสนุนภายในงาน ในขณะที่แบตเตอรี่ไฮบริดขนาด 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถชาร์จด้วยพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% จากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำและกังหันลมในท้องถิ่น ในการช่วยลดมลพิษ การผสมผสานสมรรถนะของเครื่องยนต์แบบ Ultra Performance Hybrid ของ New Continental GT Speed เจเนอเรชันที่ 4 และเชื้อเพลิง eFuel ประกอบกับพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% จากโรงแรมได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 93% เมื่อเทียบกับงานครั้งก่อน

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-5-1024x683-1.jpg

เส้นทางการขับขี่ในกิจกรรมได้รวมเอาช่องเขาที่มีชื่อเสียง 4 แห่ง อันได้แก่ Sustenpass, Grimselpass, Nufenenpass, และ St. Gotthard-pass โดยตลอดกิจกรรม New Continental GT Speed ทั้ง 12 คันได้ไต่ระดับขึ้นไปรวมกว่า 1,400,000 ฟุตผ่านโค้งหักศอกกว่า 4,500 โค้ง ซึ่งเป็นระยะทางรวมกว่า 13,000 กิโลเมตรใน 7 วัน พร้อมยังสามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนโดยรวมต่อผู้เข้าร่วมได้อีกถึง 30%

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-12-1024x767-1.jpg

สำหรับการขับขี่สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์รุ่นใหม่ แขกผู้ร่วมกิจกรรมไม่เพียงแต่ได้สัมผัสกับประสิทธิภาพการขับขี่แบบไดนามิกจากเทคโนโลยีแชสซีส์ใหม่พร้อมระบบกันกระเทือนแบบวาล์วคู่ชั้นสูงของเบนท์ลีย์เท่านั้น แต่ยังได้สัมผัสถึงสมรรถนะของเครื่องยนต์แบบ Ultra Performance Hybrid ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการเติมแรงบิดที่ความเร็วเครื่องยนต์ต่ำ พร้อมกับความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-6-1024x683-1.jpg

New Continental GT Speed ได้รับการรับรองด้วยอัตราการปล่อยคาร์บอนที่ 29 กรัม/กิโลเมตร และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 350 กิโลเมตร/แกลลอน โดยจะมีกำหนดส่งมอบถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า

แม้ว่าอัตราการปล่อยมลพิษจากงานจะลดลงอย่างมาก แต่ปัจจัยภายนอกด้านสิ่งแวดล้อมของงาน Global Media Drive ยังคงเป็นการปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินระหว่างประเทศที่จำเป็นสำหรับการเดินทางมาร่วมงาน ด้วยเหตุนี้ เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส จึงเลือกพิจารณาชดเชยการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่ด้วยการใช้คาร์บอนเครดิต

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-4-1024x683-1.jpg

เรื่องราวของพลังงานสะอาด eFuel


eFuels (เชื้อเพลิงสังเคราะห์) คือ เชื้อเพลิงเหลวสังเคราะห์ที่ผลิตจากไฮโดรเจนที่ได้จากพลังงานหมุนเวียนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สามารถกรองจากอากาศรอบตัวได้

เชื้อเพลิงดังกล่าวเป็นเชื้อเพลิงที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบเป็นกลาง ซึ่งรถยนต์ทั่วไปสามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ได้โดยไม่ต้องดัดแปลงใดๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันและสามารถผสมกับน้ำมันเบนซินแบบเดิมได้

และจากความร่วมมือของ Porsche กับพันธมิตรระดับนานาชาติ พร้อมด้วย Highly Innovative Fuels (HIF) บริษัทสัญชาติชิลีจึงก่อให้เกิดการจัดตั้งโรงงานนำร่อง Haru Oni ในประเทศชิลี โดยเหตุผลที่เลือกสถานที่ดังกล่าวเนื่องจากมีแรงลมที่สม่ำเสมอในปริมาณมากพอสำหรับใช้ในการขับเคลื่อนกังหันลมผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งในประเทศชิลีมีสภาพอากาศที่สมบูรณ์กว่า 270 วันต่อปี ซึ่งดีกว่าในยุโรปถึง 4 เท่า

https://www.aasautoservice.com/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-3-1024x683.jpg

พลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมจะนำไปใช้ในกระบวนการอิเล็กโทรไลซิสเพื่อผลิตไฮโดรเจนจากน้ำ โดยจะดักจับคาร์บอนจากกระบวนการกลั่นก่อนการนำ Direct Air Capture (DAC) มาใช้ในปีหน้าเพื่อสกัดคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ จากนั้นก๊าซต่างๆ จะผ่านกระบวนการเพื่อให้เข้ากันและผลิตเป็นเมทานอล จากนั้นจึงแปลงเมทานอลเป็นน้ำมันเบนซินเพื่อผลิต eFuel ซึ่งเชื้อเพลิง eFuel จะถูกกลั่นเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบัน

เป้าหมายของการใช้ eFuel คือ การไม่ก่อให้เกิดคาร์บอนเกินปริมาณที่จำเป็นในการผลิตเชื้อเพลิงแบบเดิมเมื่อถูกเผาไหม้เพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบ 100% ซึ่งโรงงานนำร่องในประเทศชิลีตั้งเป้าที่จะผลิต eFuel กว่า 100,000 ลิตรต่อปี

โดยเชื้อเพลิงดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในโครงการประภาคารเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการยกระดับเทคโนโลยี eFuel ซึ่งเบนท์ลีย์เองก็กำลังค้นคว้าเชื้อเพลิงทางเลือกอย่างเข้มข้น รวมถึงเชื้อเพลิงที่ได้จากชีวภาพและ eFuels ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในอนาคตที่จะนำไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ในปัจจุบัน เบนท์ลีย์ มอเตอร์สกำลังดำเนินการตามแนวทางด้านความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมกับที่รถยนต์เบนท์ลีย์ทุกรุ่นสามารถใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนได้

https://innews.news/images/images_news/68273/images/Continental%20GT%20GMD%20Wrap-up%20-10%20(1).jpg

New Continental GT Speed เจเนอเรชันที่ 4


New Continental GT Speed ถือเป็นรถยนต์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เบนท์ลีย์เคยผลิตขึ้นมา แกรนด์ทัวเรอร์รุ่นใหม่นี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ล่าสุดที่มีกำลังสูงสุดถึง 782 แรงม้า แรงบิดกว่า 1,000 นิวตันเมตร ซึ่งให้แรงม้าและแรงบิดมากกว่าเครื่องยนต์ W12 รุ่นเดิม พร้อมกับอัตราการปล่อยคาร์บอนที่ลดลงอย่างมากเหลือ 29 กรัม/กิโลเมตร*

สมรรถนะของระบบส่งกำลังมาพร้อมกับระบบแชสซีส์ใหม่ที่มีสปริงลมแบบ 2 ห้องจับคู่กับโช้คอัพแบบวาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วยเทคโนโลยี Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟ 48V) eLSD และระบบกระจายแรงบิด ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ประสิทธิภาพในการควบคุมและเสถียรภาพในการขับขี่ดีเยี่ยมที่มาพร้อมกับความสบายในการขับขี่ ซึ่ง Continental GT ที่ดีที่สุดในปัจจุบันมาด้วยการกระจายน้ำหนักที่เน้นไปทางด้านหลังในอัตราส่วน 49:51 โดยถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์

https://robbreport.co.th/wp-content/uploads/2024/11/Continental-GT-GMD-Wrap-up-2-1024x685-1.jpg

การออกแบบภายนอกแบบใหม่หมดจด คือ เป็นการปฏิวัติการออกแบบในอนาคตของรถยนต์เบนท์ลีย์ด้วยการพัฒนารูปลักษณ์ของ Continental GT ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสองทศวรรษ และยังเป็นรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่นแรกที่มีการออกแบบไฟหน้าแบบเดี่ยวนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1950

การออกแบบภายในห้องโดยสารยังคงมาพร้อมกับคุณภาพการออกแบบที่ไร้ที่ติ วัสดุและงานฝีมือที่น่าทึ่ง พร้อมกับการนำเอาเทคโนโลยีเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพชั้นสูง การสร้างไอออนในอากาศแบบใหม่ พื้นผิวหนังแบบสามมิติ การเย็บแบบร่วมสมัย และการตกแต่งทางเทคนิคอื่นๆ เช่น การโครเมียมสีเข้มแบบใหม่ที่ต่อยอดจากการออกแบบห้องโดยสารในรถยนต์ระดับเดียวกันเพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่า

20/11/2024

ขับเคลื่อนโดย Blogger.