Renazzo Motor เผยโฉม Lamborghini Urus SE - Super SUV Plug-In Hybrid รุ่นแรกของแบรนด์ ในราคา 24.98 ล้านบาท!
Renazzo Motor (เรนาสโซ มอเตอร์) ตัวแทนจําหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในไทย จัดงานเปิดตัว “Lamborghini Urus SE” Super SUV Plug-In Hybrid (ปลั๊กอินไฮบริด) รุ่นแรกของ Lamborghini (ลัมโบร์กินี) ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและบุคคลสําคัญแถวหน้าของเมืองไทยร่วมงาน ณ The Summer House บ้านปาร์คนายเลิศ
โดย “Urus SE” นําเสนอดีไซน์รถยนต์แนวใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพอากาศพลศาสตร์ เทคโนโลยีช่วยการขับขี่ที่เหนือชั้น และระบบส่งกําลัง 800 CV ที่ไร้คู่แข่ง ชูเวอร์ชัน PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) เป็นรุ่นท็อปในตระกูล Urus ทั้งในด้านความสบาย ประสิทธิภาพ การปล่อย ไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศ และประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ ผสานหัวใจสําคัญทั้ง 2 ด้านของแบรนด์คือระบบการ เผาไหม้และระบบไฟฟ้าเพื่อให้ได้แรงบิดและกําลังเครื่องสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทําให้ Urus SE เป็นรถยนต์ที่มี ความโดดเด่นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยสามารถลดการปล่อยไอเสียสู่ชั้นบรรยากาศได้มากถึง 80%
มร.ฟรานเชสโก้ สกาดาโอน ผู้อํานวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิล ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “ประเทศไทย ถือเป็นตลาดที่สําคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นําเสนอ Urus SE ให้แก่ แฟน ๆ ในประเทศไทย เพราะ Urus SE ได้นําเราเข้าสู่ยุคใหม่แห่งวิวัฒนาการรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวีในช่วงการเปลี่ยน ผ่านสู่ระบบไฟฟ้า และยังเป็นก้าวสําคัญของลัมโบร์กินี ซึ่งผมเชื่อมั่นว่ารถยนต์รุ่นนี้จะสร้างนิยามใหม่ให้แบรนด์ของเรา ได้ก้าวไปอีกขั้น ตลอดจนร่วมปฏิวัติโลกยานยนต์ด้วยซูเปอร์เอสยูวี อันเป็นเอกลักษณ์ของเรา”
อภิชาติ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จํากัด ในฐานะตัวแทนจําหน่ายรถยนต์ ลัมโบร์กินีอย่างเป็นทางการรายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า “หลังจากลัมโบร์กินีได้เผยโฉม Urus SE พร้อมกันทั่วโลก ในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ในวันนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่สาวกกระทิงดุในเมืองไทยจะได้ยลโฉม Urus SE คัน จริงเป็นครั้งแรกอย่างใกล้ชิด ซึ่งเรามั่นใจว่า ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดนี้จะตอบโจทย์ทุกประสบการณ์การขับขี่และได้รับ การตอบรับที่ดีจากแฟนๆลัมโบร์กินีทั่วประเทศอย่างแน่นอน”
ประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้คู่แข่ง
Urus SE มอบประสบการณ์การขับขี่อันไร้คู่แข่งด้วยเครื่องยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพและ พลศาสตร์ของยานยนต์ให้โลดแล่นได้อย่างเต็มกําลังบนทุกเส้นทางและการขับขี่ทุกรูปแบบ มอบทั้งแรงบิดและกําลัง เครื่องสูงสุดในทุกรอบเครื่องยนต์ด้วยโซลูชันเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด อาทิ การใช้ระบบเวกเตอร์แรงบิดไฟฟ้าระหว่าง เพลาทั้งสองและระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า
“ภารกิจของโครงการนี้ แน่นอนว่าคือการนําเสนอประสิทธิภาพการขับขี่เหนือระดับที่ผสานกับลักษณะเด่นในดีเอ็นเอ ของแบรนด์ลัมโบร์กินี” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว “Urus SE ถูกกําหนดให้เป็น รุ่นท็อปของคลาส ทั้งในด้านความเพลิดเพลินของการเดินทางและพลศาสตร์การขับขี่ โดยเป็นรถยนต์ที่ผสาน
คุณสมบัติที่แตกต่างกันไว้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายที่สมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็มอบ สมรรถนะที่เหนือระดับและการขับขี่ที่สนุกสนานมากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่มีรถยนต์รุ่นใดจะทําได้เทียบเท่า”
เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 4.0 ได้ถูกนํามาพัฒนาใหม่เพื่อให้สามารถทํางานกับระบบส่งกําลังไฟฟ้าได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพ ทําให้มีกําลังเครื่องถึง 620 CV (456 kW) และแรงบิด 800 Nm โดยระบบสันดาปได้ถูกผสานเข้ากับ ระบบส่งกําลังไฟฟ้าเพื่อมอบกําลังเครื่อง 192 CV (141 kW) และแรงบิด 483 Nm และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทีมวิศวกรจึงให้ความสําคัญกับการปรับจูนการทํางานที่สอดคล้องกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) กับ มอเตอร์ไฟฟ้า จนได้กําลังเครื่องสูงสุดที่ 800 CV พร้อมการันตีกําลังเครื่องเฉลี่ยดีที่สุดในทุกๆ โหมดการขับขี่และ สภาพพื้นผิวถนน
พร้อมติดตั้งแบตเตอรี่ลิเทียม 25.9 kWh บริเวณใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านบนระบบเฟืองท้ายไฟฟ้า มอเตอร์ซิงโครนัสชนิดแม่เหล็กถาวร (Permanent Magnet Synchronous Motor) ซึ่งติดตั้งอยู่ในระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 ระดับสามารถช่วยบูสต์เครื่องยนต์สันดาป V8 และยังเป็นตัวสร้างแรงฉุดได้อีกด้วย ทําให้ Urus SE เป็นรถยนต์ ขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยระบบไฟฟ้า 100% ที่สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 60 กม.เมื่อขับขี่ด้วยโหมดไฟฟ้า (EV Mode) เพียงอย่างเดียว
เทคโนโลยีใหม่ที่ถูกนํามาใช้ใน Urus SE เป็นครั้งแรกคือระบบเวคเตอร์แรงบิดไฟฟ้าตามแนวยาวรูปแบบใหม่ที่ติดตั้ง ไว้บริเวณกลางตัวรถ พร้อมคลัตช์อิเลกโตรไฮดรอลิกแบบมัลติเพลตซึ่งช่วยสร้างแรงบิดแปรผันระหว่างเพลาหน้าและ เพลาหลังได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทําหน้าที่ประสานการทํางานให้สอดรับกับเฟืองท้ายไฟฟ้าบนเพลาหลังอย่างราบรื่น จะคอยกระจายแรงบิดเมื่อทําการเบรก ทําให้รถยนต์สามารถควบคุมอาการ Oversteer ได้แบบ “On Demand” เพื่อมอบสัมผัสอันเร้าใจเสมือนขับขี่รถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตตัวจริง
ทั้งสองระบบที่กล่าวมา ได้รับการออกแบบและปรับจูนการทํางานให้เหมาะสมกับการยึดเกาะถนนทุกรูปแบบและทุก สไตล์การขับขี่ มอบแรงฉุดและการตอบสนองที่ฉับไวสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งทะยานในสนามแข่งหรือวิ่งตะลุยไปบน เนินทราย พื้นน้ำแข็ง หรือทางดิน
Urus SE เป็นรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในคลาสเดียวกันด้วยแรงบิดและกําลังเครื่องที่เหนือล้ำในทุกรอบเครื่องยนต์และทุก สภาพถนน โดยมอบกําลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 800 CV (588 kW) ที่ 6,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดรวม 950 Nm ที่ 1,750 - 5,750 รอบ/นาที จึงมอบประสิทธิภาพสูงสุดในคลาสในทุกแง่มุมของการขับขี่
ผลลัพธ์อันน่าประทับใจนี้มาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอัตราส่วนกําลังต่อน้ำหนักเครื่อง (Weight-to-Power Ratio) ที่ 3.13 kg/CV (เปรียบเทียบกับ 3.3 ในรุ่น Urus S) โดย Urus SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที (Urus S ที่ 3.5 วินาที) และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 11.4 วินาที (Urus S ที่ 12.5 วินาที) สามารถทําความเร็วสูงสุดที่ 312 กม./ชม. (Urus S ที่ 305 กม./ชม.) ข้อมูลเหล่านี้ทําให้ SE เป็นรถยนต์ที่ ทรงพลังสูงสุดของตระกูล Urus และสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์เอสยูวี
งานออกแบบรถยนต์และอากาศพลศาสตร์
Urus SE คือการสร้างนิยามใหม่ให้กับงานออกแบบรถยนต์อันโฉบเฉี่ยวที่เปลี่ยนแนวคิดของดีไซน์เอสยูวีไปอย่าง สิ้นเชิง พร้อมนําเสนอเส้นสายใหม่ที่สื่อถึงการอัปเกรดประสิทธิภาพระบบอากาศพลศาสตร์ได้อย่างชัดเจน
ดีไซน์ของ Urus SE สะท้อนถึงรูปทรงแบบพลศาสตร์ที่เน้นภาพลักษณ์ความเป็นรถสปอร์ตและความแข็งแกร่งบึกบึน ได้อย่างโดดเด่น ส่วนหน้าหรูหราด้วยการออกแบบฝากระโปรงทรงใหม่แบบ Floating Design โดยลบเส้นสายที่เป็นตัว แบ่งส่วนต่าง ๆ ทิ้งไปเพื่อเสริมความรู้สึกลื่นไหลต่อเนื่องและเน้นย้ำถึงรูปทรงแบบนักกีฬา ชวนให้นึกถึงแนวคิดการ ออกแบบแนวใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรุ่น Revuelto นอกจากนี้ ยังเสริมด้วยองค์ประกอบใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งชุด ไฟหน้าที่ใช้เทคโนโลยี Matrix LED ซึ่งเป็นดีไซน์ซิกเนเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีแรงบันดาลใจมาจากหางวัวกระทิงซึ่งเป็น สัญลักษณ์ของแบรนด์ลัมโบร์กินี่นั่นเอง ตลอดจนการออกแบบส่วนกันชนท้ายและตะแกรงหน้าใหม่ในทุกรายละเอียด “การออกแบบและสัดส่วนของ Urus ยังคงสวยงามอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ และยังสะท้อนถึงความเป็นลัมโบร์กินีอย่าง ไร้ที่ติ” มร.มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อํานวยการฝ่ายการออกแบบ ลัมโบร์กินี กล่าว
“ในขณะเดียวกัน Urus SE แสดงถึง วิวัฒนาการอันเปี่ยมเสน่ห์อย่างยิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบระดับไอคอนิกที่ยอดเยี่ยมของเรา และที่สําคัญ คือการมอบสัมผัสอันหรูหรายิ่งกว่าเดิมด้วยโปรแกรมการตกแต่งแบบ Ad Personam โดยเรานําแรงบันดาลใจมาจาก รุ่น Revuelto พร้อมฝากระโปรงรถแบบ Floating เพื่อมอบเส้นสายที่สะอาดตาและรูปทรงส่วนหน้าที่แข็งแกร่งบึกบึน
โดยระบบไฟหน้าที่ล้ำสมัยได้ผสานดีไซน์ซิกเนเจอร์แบบ DRL ไว้อย่างลงตัว การออกแบบส่วนท้ายให้ความสําคัญกับ ช่วงกว้าง ตกแต่งด้วยดิฟฟิวเซอร์แบบใหม่และปรับช่องติดป้ายทะเบียนรถให้มีระดับต่ำลง ดีไซน์ตะแกรงหลังนําแรงบันดาลใจมาจากรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีอย่าง Gallardo สําหรับการออกแบบห้องโดยสารภายในยังคง สืบทอดปรัชญา “Feel like a pilot” เพื่อยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักขับและระบบดิจิทัลภายใน
สําหรับการออกแบบส่วนท้าย มีการจัดสรรพื้นที่เก็บสัมภาระใหม่ทั้งหมดโดยนํารูปทรงที่ต่อเนื่องมาจากรุ่น Gallardo โดยผสานเส้นสายต่าง ๆ ได้อย่างกลมกลืน เชื่อมต่อชุดไฟท้ายด้วยดวงไฟรูปตัว “Y” และดิฟฟิวเซอร์หลังรูปแบบใหม่ ซึ่งทําให้รถยนต์มีสัดส่วนคล้ายสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ส่วนสปอยเลอร์ใหม่ยังทํางานร่วมกับดิฟฟิวเซอร์หลังในการช่วยเพิ่ม แรงกดด้านหลังขณะวิ่งด้วยความเร็วสูงเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Urus S จึงเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ได้ถูกยกระดับขึ้นด้วยการออกแบบท่อระบายลมที่ส่วนล่างตัวรถและท่อลมเข้าแบบ ปรับปรุงใหม่ พร้อมออกแบบช่องทางลมให้ต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อลดความร้อนของชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่ารุ่น Urus เดิมถึง 15% การออกแบบส่วนหน้ายังผสานกับการเพิ่มประสิทธิภาพอากาศพล ศาสตร์ด้านล่างเพื่อช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศและระบายความร้อนให้กับระบบเบรก ซึ่งมีประสิทธิภาพการ ระบายความร้อนด้วยอากาศสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเก่า
การตกแต่งรถยนต์ในสไตล์ของคุณ
Urus SE เสนอออปชันการตกแต่งที่เหนือชั้นที่สุดในรถยนต์คลาสเดียวกัน โดยมีทั้งล้ออัลลอยรุ่นอัปเดตใหม่พร้อม ดีไซน์ Galanthus ขนาด 23 นิ้วเป็นรุ่นมาตรฐานพร้อมยาง Pirelli P Zero รุ่นใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโทนสีตัวรถให้เลือก มากมายและออปชันการตกแต่งอีกมากกว่า 100 องค์ประกอบ พร้อมนําเสนอ 2 โทนสีใหม่ในวันเปิดตัว ทั้งโทนสี Arancio Egon (สีส้ม) ที่จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Arancio Apodis (สีส้ม) และโทนสี Bianco Sapphirus (สีขาว) จับคู่กับการตกแต่งห้องโดยสารโทนสี Terra Kedros (สีน้ำตาลแดง)
ออปชันการตกแต่งภายในยังมอบทางเลือกคู่สีอีกกว่า 47 แบบและการเย็บตะเข็บตกแต่งถึง 4 สไตล์ (Q-Citura Stitching) พร้อมออปชันในโปรแกรมการตกแต่ง Ad Personam ที่ช่วยให้เจ้าของ Urus SE สร้างสรรค์รถยนต์ให้มี เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ดีไซน์ห้องโดยสารภายใน
การตกแต่งภายในได้รับการอัปเดตใหม่ เพื่อขับเน้นดีไซน์ระดับซิกเนเจอร์ “Feel like a pilot” อันเป็นเสมือนดีเอ็นเอ ของลัมโบร์กินี โดยนําเสนอฟีเจอร์ใหม่มากมายบริเวณแผงหน้าปัดด้านหน้าและยกระดับภาพลักษณ์รถยนต์น้ำหนัก เบาเหมือนกับในรุ่น Revuelto
หน้าจอขนาดใหญ่ 12.3 นิ้วซึ่งใหญ่กว่ารุ่นเดิม ถูกติดตั้งไว้บริเวณกลางแผงหน้าปัดและมอบการแสดงผลกราฟิก Human Machine Interface (HMI) เวอร์ชั่นใหม่ที่ใช้งานได้ง่ายดายและเป็นธรรมชาติมากขึ้นเหมือนที่พบได้ในรุ่น Revuelto ทีมนักออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังให้ความสําคัญกับการออกแบบท่อลม โดยตกแต่งด้วยวัสดุ อลูมิเนียมเคลือบผิวในรูปทรงตัว “Y” อันเป็นเอกลักษณ์ และยังหุ้มส่วนบานตกแต่ง แผงหน้าปัด เบาะนั่งด้วยวัสดุใหม่ นอกจากนี้ ยังออกแบบแผงปุ่มกดแบบกลไกเพื่อให้ได้สัมผัสของการกดที่สมจริง
ผู้ขับยังสามารถใช้งานทั้งแผงควบคุมรวมแบบดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว และจอทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้วที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันตรงกลางแผงหน้าปัดและยังเป็นเสมือนหัวใจหลักของระบบ Lamborghini Infotainment System (LIS) นอกจากนี้ ยังนําเสนอระบบวัดระยะสําหรับรุ่น SE และจอแสดงผลแบบใหม่ที่ทํางานสัมพันธ์กับระบบ ช่วยขับต่าง ๆ ช่วยให้ผู้ขับสามารถรับรู้สภาวะรอบด้านได้ดียิ่งขึ้น สัมผัส 4 โหมดการขับขี่ที่แตกต่าง
แผงควบคุม “Tamburo” ถูกติดตั้งบริเวณกลางคอนโซลเพื่อให้ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันได้อย่าง ง่ายดาย และด้วยการใช้ระบบส่งกําลังแบบไฮบริด เมื่อรวมโหมดการขับขี่ของ Urus ทั้ง 6 แบบเข้ากับการทํางาน Electric Performance Strategies (EPS) แบบใหม่อีก 4 แบบ ทําให้นักขับมีตัวเลือกทั้งหมดมากถึง 11 ออปชัน โดยในรุ่นนี้ โหมดพื้นฐานทั้ง Strada, Sport, Corsa (สําหรับท้องถนนและสนามแข่ง) รวมถึง Neve, Sabbia และ Terra (สําหรับพื้นผิวที่มีการยึดเกาะที่แตกต่างจากพื้นยางมะตอย) จะสามารถทํางานร่วมกับออปชันระบบ EV Drive, Hybrid, Performance และ Recharge ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
มร.สเตฟาโน คอสซัลเตอร์ ผู้อํานวยการกลุ่มผลิตภัณฑ์ Lanzador และ Urus ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “Urus SE คือ วิวัฒนาการครั้งสําคัญ ซึ่งไม่ใช่เพียงแนวคิดด้านความยั่งยืนจากการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมหาศาล เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการพัฒนาด้านสมรรถนะและสัมผัสแบบรถยนต์สปอร์ตอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เกิดจากการใช้โซลูชันเชิง เทคนิคที่ล้ำสมัยซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากระบบส่งกําลังแบบไฮบริด ทําให้ Urus SE ของเราเป็นซูเปอร์เอสยูวีที่ผสานหัวใจ สําคัญทั้ง 2 ด้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ หนึ่งคือพลังงานจากการเผาไหม้ที่เป็นรากฐานสําคัญของแบรนด์ และอีกหนึ่งคือ พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นอนาคตใหม่ในโลกยานยนต์ เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทําให้รถยนต์รุ่นนี้คือการตีความ บุคลิกภาพของลัมโบร์กินีที่เด่นชัดในรูปลักษณ์ใหม่ และก้าวสู่เวอร์ชันใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง
ระบบ EV Drive ช่วยให้ผู้ขับได้สัมผัสประสบการณ์และศักยภาพของพลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อได้รับ การปรับแต่งมาเพื่อวิ่งบนท้องถนนในเมือง โดยสามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 60 กม. และเร่งความเร็วสูงสุดที่ 130 กม./ชม. เมื่อทําความเร็วสูงกว่านี้ เครื่องยนต์ V8 ก็จะเข้ามาสนับสนุนการทํางานของมอเตอร์ไฟฟ้า เช่นเดียวกันเมื่อผู้ขับ ต้องการแรงบิดที่มากกว่าระดับสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า
ระบบ Hybrid ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้เมื่อขับขี่ในโหมด Strada มอบประสิทธิภาพและความสบายสูงสุดบนการทํางานที่ สมดุลระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า และแน่นอน ถือเป็นโหมดใช้งานแบบอเนกประสงค์ที่เหมาะสําหรับ การขับขี่ในชีวิตประจําวัน ระบบ Recharge ซึ่งสามารถเลือกได้เมื่อใช้โหมด Strada, Sport, Corsa และ Neve โดยสามารถชาร์จไฟให้แบตเตอรี่ได้ถึง 80% โดยที่ยังให้สมรรถนะการขับขี่สูงสุด ส่วนระบบ Performance เหมาะสําหรับ ผู้ที่ต้องสัมผัสศักยภาพที่แท้จริงของ Urus SE ซึ่งไม่เพียงเลือกได้ในโหมด Strada, Sport และ Corsa เท่านั้น แต่ยังรวมถึงโหมด Sabbia และ Terra อีกด้วย โดยมอบประสิทธิภาพด้านพลศาสตร์ที่เหนือชั้นของซูเปอร์ เอสยูวีตัวจริงแม้ไม่ได้วิ่งบนพื้นยางมะตอย
เมื่อวิ่งในโหมดที่แตกต่างกัน สปริงลมจะปรับเปลี่ยนการทํางานเพื่อสร้างค่าความสูงรถที่เหมาะสม ตั้งแต่การเดินทาง ระยะ 15 มม. ในโหมด Corsa ไปจนถึงสูงสุดที่ 75 มม. เมื่อระบบยกตัวรถทํางานเต็มที่ นอกจากนี้ พารามิเตอร์ที่คอย ปรับพวงมาลัย ระบบการขับขี่ และเสียงเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ V8 ก็จะทํางานแบบแปรผันเช่นกัน เพื่อสะท้อนถึง “บุคลิก” ที่แตกต่างของ Urus SE
ทีมผู้พัฒนายังให้ความสําคัญอย่างมากกับระบบกันสะเทือนแบบถุงลม (Air Suspension) เพื่อเน้นประสบการณ์ การขับขี่ของแต่ละโหมดให้โดดเด่นยิ่งขึ้น โดยในโหมด Strada ได้เพิ่มระดับความสบายของรถยนต์ Urus S ให้มากขึ้น ไปอีก ส่วนในโหมด Sport จะเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่ โดยเสริมคาแรกเตอร์ของระบบส่งกําลังแบบใหม่ ในการสตาร์ตและการดริฟต์ที่มันส์อย่างต่อเนื่อง โหมด Corsa ออกแบบมาเพื่อการพุ่งทะยานในสนามแข่งขัน ทําให้ Urus SE โชว์ศักยภาพด้านพลศาสตร์ได้อย่างเต็มที่ด้วยการติดตั้งหน่วยควบคุมไฟฟ้า (ECU) สําหรับระบบกันสะเทือน ซึ่งช่วยควบคุมรูปแบบการเคลื่อนไหวของโครงแชสซี (ทั้งการ Pitch, Yaw, Roll และ Pump) ซึ่งทําให้ตัวรถมีความเสถียรสูงและตอบสนองกับขอบสนามแข่งได้อย่างฉับไว รวมไปถึงการวิ่งบนทางขระขระและพื้นผิวที่มีการยึดเกาะต่ํา ซึ่งเกิดจากการติดตั้งเหล็กกันโคลงที่ควบคุมการทํางานด้วยระบบไฟฟ้า 48V ส่วนในโหมด Neve, Stabbia และ Terra ได้ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพใหม่เพื่อเสริมประสิทธิภาพแรงกระทํากับพื้นถนนที่สม่ำเสมอ และสร้างแรงฉุดที่ดีที่สุดบนพื้นผิวทุกประเภท