Ferrari SF90 XX Stradale และ SF90 XX Spider: ครั้งแรกของรุ่น XX ในเวอร์ชั่น Road Car
Ferrari SF90 XX Stradale
ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุดในซีรี่ส์พิเศษ ซึ่งได้นำพื้นฐานจากรถ SF90
Stradale รุ่นมาตรฐานมาปรับแต่ง โดยเปิดตัวพร้อมกันกับ SF90 XX Spider
ซึ่งผลิตขึ้นจำกัดเพียง 799 และ 599 คัน ตามลำดับ
รถทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับขุมพลัง V8 PHEV ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุดขั้วของ
Concept ที่นำมาใช้กับรถเวอร์ชั่นพิเศษนี้ ยกระดับสมรรถนะ Road Car
ของเฟอร์รารี่ให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น
คอนเซปต์ของโครงการนี้ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลากว่า
20 ปี ด้วยยนตรกรรมมากมายที่กลายเป็นที่กล่าวขวัญของแบรนด์ม้าลำพอง อาทิ
488 Pista และ 812 Competizione และในระหว่างช่วงสองทศวรรษดังกล่าว Ferrari
ยังรังสรรค์ที่สุดแห่งยนตกรรมในโครงการ XX ขึ้น
สำหรับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นนักขับฝีมือดีที่ผ่านการคัดเลือก
เพื่อเข้าร่วมขับรถที่ใช้สำหรับในสนามแข่งเท่านั้นโดยไม่สามารถขับขี่บนถนนทั่วไปได้
รถทุกรุ่นที่ถูกสร้างขึ้นภายใต้โครงการนี้
พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จสูงสุด
ซึ่งนั่นรวมไปถึงรถรุ่นล่าสุดในซีรีย์อย่าง FXX-K EVO ด้วย
จากประสบการณ์ที่เชี่ยวชาญในการสร้างรถรูปแบบนี้
Ferrari รังสรรค์รถที่สามารถขับขี่บนถนนได้โดยถูกกฎหมาย
แต่ยังคงสะท้อนถึงคอนเซปต์ด้านวิศวกรรมของทั้งสองโครงการได้อย่างเต็มที่
โดย SF90 XX Stradale นั้นถูกต่อยอดมาจากพื้นฐานของ SF90 Stradale
ซึ่งเป็นรถในกลุ่มซูเปอร์คาร์
ยกระดับประสิทธิภาพและประสบการณ์การขับขี่ในสนามแข่งบนขีดจำกัดสูงสุดของรถให้เหนือขึ้นไปอีกขั้น
เพิ่มสมรรถนะให้มีกำลังสูงสุด 1,030 แรงม้า (มากกว่า SF90 Stradale 30
แรงม้า)
ร่วมด้วยซอฟต์แวร์ที่ปรับการทำงานขึ้นใหม่โดยเฉพาะ
และชุดแอโรไดนามิกส์แบบใหม่หมดจด รวมไปถึงสปอยเลอร์หลังแบบตายตัว (SF90
Stradale เป็นแบบปรับระดับอัตโนมัติ) ซึ่งถูกนำกลับมาใช้เป็นครั้งแรกใน
Road Car นับตั้งแต่ที่เคยมีติดตั้งในรุ่น F50
ช่วยสร้างแรงกดในระดับที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ถึง 530 กก. ที่ความเร็ว 250
กม./ชม.
คอนเซปต์เดียวกันนี้
ถูกนำมาใช้ในรุ่น SF90 XX Spider เช่นกัน
เป็นการผสมผสานความเร้าใจของการขับขี่ในสนามแข่งที่อะดรีนาลีนพุ่งพล่านเข้ากับการขับขี่ท่ามกลางสายลม ‘en plein air’ รวมถึงเสียงคำรามของขุมพลังเฟอร์รารี่ V8 อันเป็นเอกลักษณ์
Ferrari
SF90 XX Spider ใช้ชุดแอโรไดนามิกส์แบบเดียวกับใน SF90 XX Stradale
พร้อมห้องโดยสารที่ปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศใหม่
มอบความสะดวกสบายสูงสุดให้กับผู้โดยสารขณะขับขี่แบบเปิดหลังคา
ตัวรถมาพร้อมกับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ (RHT - Retractable Hard Top)
ที่ผลิตจากอลูมิเนียม และไม่เพียง เปิด/ปิด ในเวลาเพียง 14 วินาทีเท่านั้น
แต่ยังสามารถทำงานได้ขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุดถึง 45 กม./ชม. อีกด้วย
ระบบขับเคลื่อน
SF90
XX Stradale ยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ PHEV แบบเดียวกับใน SF90 Stradale
และ SF90 Spider โดยเครื่องยนต์ V8 จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดย 2
ตัวที่ล้อหน้าจะทำงานแยกกันอย่างอิสระ
และอีกหนึ่งตัวซึ่งถูกติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์จะถูกใช้สำหรับขับเคลื่อนล้อหลัง
ด้วยรูปแบบดังกล่าว ส่งผลให้รถทำกำลังสูงสุดได้มากถึง 1,030 แรงม้า
(มากกว่า SF90 Stradale 30 แรงม้า) เป็นการสร้างขีดจำกัดใหม่แห่งสมรรถนะ
เครื่องยนต์สันดาปภายใน
เครื่องยนต์
V8 เทอร์โบ วางกลางลำ ยกระดับขีดจำกัดสูงสุดด้านสมรรถนะให้เพิ่มขึ้นเป็น
797 แรงม้า เครื่องยนต์รหัส F154FB จาก SF90 Stradale
ถูกนำมาใช้กับการขับเคลื่อน SF90 XX Stradale
ซึ่งได้เพิ่มความสุดขั้วยิ่งขึ้น
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพโดยการขัดช่องไอดีและไอเสีย
ส่วนกำลังอัดในกระบอกสูบก็สูงขึ้นจากการใช้ลูกสูบแบบใหม่และห้องเผาไหม้ที่กลึงขึ้นเป็นพิเศษ
นอกจากนั้นการตัดระบบอากาศชุดที่สองออกยังช่วยลดน้ำหนักของเครื่องยนต์ลงได้อีก
3.5 กก. เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เดิมของ SF90 Stradale
เสียงเครื่องยนต์
ซาวด์แทร็คประกอบการทำความเร็วของ
SF90 XX Stradale
ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ให้ได้มาซึ่งที่สุดของจิตวิญญาณรถแข่ง
ระบบท่อไอเสียถูกพัฒนาใหม่
ให้สามารถประพันธ์ท่วงทำนองได้หนักแน่นทรงพลังและโอ้อวดเสียงอันกลมกล่อมตลอดย่านความเร็วรอบของขุมพลัง
V8 ได้เต็มที่ เสียงนี้จะดังกระหึ่มทั่วห้องโดยสาร
ด้วยคลื่นความถี่ที่สูงขึ้น
เพื่อเผยความยอดเยี่ยมสูงสุดของขุมพลังเฟอร์รารี่ V8
การใช้นวัตกรรมใหม่ช่วยเพิ่มความคมชัดของระบบเสียงได้เป็นอย่างดี
ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงสุดกระหึ่มที่ระเบิดออกมาจากเครื่องยนต์เฟอร์รารี่
V8 ระดับตำนาน
ท่อที่ต่อออกมาจากท่อร่วมไอดีถูกออกแบบใหม่และเปลี่ยนมาจัดวางในตำแหน่งที่ใกล้กับผนังห้องโดยสารยิ่งขึ้น
เพื่อให้ผู้โดยสารอิ่มเอมไปกับเสียงที่เฉียบคมและดังสะใจ
จากการที่เครื่องยนต์ต้องดูดอากาศในปริมาณมากกว่าเดิมเพื่อถ่ายทอดแรงบิดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
หม้อพักไอเสียจัดวางไว้ใกล้กับเครื่องยนต์เพื่อให้ได้มาซึ่งเสียงที่ทรงพลังและเด่นชัดกว่าเดิม
ผลงานที่ถูกส่งออกมาจากปลายท่อทั้งสองของระบบไอเสีย
คือคุณภาพเสียงคำรามที่ไพเราะยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่รอบกลาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อรอบเครื่องสูงขึ้นจนเข้าใกล้ขีดจำกัดสูงสุดที่ตั้งไว้
ซึ่งเป็นช่วงที่รถสามารถปลดปล่อยกำลังสูงสุดได้
ระบบไอเสียที่ถูกปรับแต่งใหม่นี้
ยังคงให้ทั้งคลื่นเสียงที่คมชัดอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มความลื่นไหลและราบรื่นของเสียงให้ครบทุกรอบความเร็ว
มอเตอร์ไฟฟ้า
SF90
XX Stradale มีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว เช่นเดียวกับใน SF90 Stradale
โดยตัวหนึ่งถูกจัดวางคั่นไว้ระหว่างเครื่องยนต์และชุดเกียร์ ส่วนอีก 2
ตัวที่เหลือ ใช้สำหรับขับเคลื่อนล้อคู่หน้า โดยทั้งสามสามารถมอบพละกำลังรวม
233 แรงม้า ได้แบบทันที ด้วยการทำงานของระบบเพิ่มกำลังพิเศษ (Extra Boost)
ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ และถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกใน Road Car ของม้าลำพอง
แบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน สมรรถนะสูง
ทำหน้าที่จ่ายพลังงานให้มอเตอร์ไฟฟ้าทั้งสามตัว
สามารถขับเคลื่อนในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางถึง 25 กม.
โดยรถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 135 กม./ชม.
ด้วยการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าเพียงอย่างเดียว
ระบบการควบคุมที่ปรับปรุงใหม่
ช่วยบริหารจัดการการทำงานของแหล่งพลังงานทั้งหมด
โดยโฟกัสไปยังความประหยัดหรือสมรรถนะตามความเหมาะสมขณะนั้น
ผู้ขับสามารถใช้ฟังก์ชัน eManettino บนพวงมาลัย โดยสามารถเลือกได้ 4 โหมด
จากการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ในโหมด eDrive
เครื่องยนต์จะหยุดทำงานและเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนที่ล้อหน้าเท่านั้น,
ในโหมด Hybrid จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เป็นหลัก
และระบบจะสลับใช้เครื่องยนต์หรือทั้งสองควบคู่กันโดยอัตโนมัติ, โหมด
Performance
เครื่องยนต์จะทำงานตลอดเวลาเป็นหลักเพื่อคงไว้ซึ่งพละกำลังที่สม่ำเสมอ
มากกว่าการทำกำลังสูงสุด, และโหมด Qualifying
ระบบจะปลดปล่อยพละกำลังสูงสุดของตัวเองออกมา ด้วยการใช้ฟังก์ชั่น Extra
Boost ที่เปลี่ยนระบบการควบคุมให้มุ่งเน้นไปยังสมรรถนะเป็นหลัก
ชุดเกียร์
ทั้ง
SF90 XX Stradale และ SF90 XX Spider ต่างใช้ชุดเกียร์ 8 จังหวะ คลัตช์คู่
ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกไปในรุ่น SF90 Stradale อย่างไรก็ตาม
ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ได้รับการเปลี่ยนใหม่โดยเฉพาะ
ด้วยการใช้ระบบที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะซึ่งเคยนำมาใช้ครั้งแรกกับเฟอร์รารี่
Daytona SP3 เพื่อให้อัตราเร่งมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ระบบควบคุมใหม่นี้
ทำให้เสียงท่อไอเสียขณะเปลี่ยนเกียร์ที่รอบ กลาง/สูง
คล้ายกับเสียงปะทุขณะยกคันเร่ง แบบเดียวกับขณะขับขี่แบบไฮเพอร์ฟอร์มานซ์
ด้วยเหตุนี้
วิศวกรของเฟอร์รารี่จึงปรับจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ขึ้นเป็นพิเศษให้ทำงานได้เหมาะสมกับระบบควบคุมชุดเกียร์
โดยปรับลำดับการทำงานใหม่และช่วยเพิ่มแรงดันของการเผาไหม้
เพื่อให้ได้เสียงการทำงานของเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มยิ่งขึ้นขณะเปลี่ยนเกียร์
ในจุดที่ระบบกำลังปรับเปลี่ยนเกียร์เปลี่ยนสู่ตำแหน่งถัดไป
Aerodynamics
SF90
XX Stradale มอบศักยภาพสูงสุดด้านแอโรไดนามิกส์เหนือกว่า Road Car คันใดๆ
ในประวัติศาสตร์ของเฟอร์รารี่
ส่งผลให้รถรุ่นนี้มีประสิทธิภาพเทียบเคียงได้กับสุดยอดซูเปอร์คาร์อย่าง
LaFerrari เลยทีเดียว สามารถสร้างแรงกดได้มากกว่า SF90 Stradale ถึง 1
เท่าตัว จึงเพิ่มการยึดเกาะถนนและทำเวลาต่อรอบในสนาม Fiorano
ได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผลลัพธ์นี้ได้มาจากประสบการณ์ในสนามแข่งที่มากมายจนประเมินค่าไม่ได้ของเฟอร์รารี่
ด้วยการดีไซน์รูปแบบการไหลของอากาศของระบบหล่อเย็นสำหรับระบบระบายความร้อนและอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
ตลอดจนเครื่องยนต์ขึ้นใหม่ เพื่อรับมือกับพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นของรถ
ในด้านของแอโรไดนามิกส์
แน่นอนว่าปีกหลังที่ถูกติดตั้งแบบตายตัว
ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยใช้ประสบการณ์ที่นำมาจากรถรุ่นต่างๆ ในโครงการ XX
นี่คือชิ้นส่วนที่มีศักยภาพด้านแอโรไดนามิกส์อย่างยิ่ง
ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสำหรับการใช้งานแบบนี้โดยเฉพาะ ซึ่งต้องขอบคุณ
Ferrari Styling Centre ที่ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในเรื่องนี้
รูปทรงของสปอยเลอร์ถูกกำหนดขึ้นตามประสิทธิภาพพื้นที่ที่เกิดสนามแรงดันอากาศอันเป็นผลมาจากรูปทรงของปีก
จะมีปฏิสัมพันธ์กับแรงดันที่ซับซ้อนและแรงดันย้อนกลับที่เกิดขึ้นรอบๆ
Gurney ที่ปิดอยู่
Gurney ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่
สามารถจัดการกับทั้งแรงกดและแรงต้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งสามารถปรับได้ 2 ตำแหน่ง คือ LD (Low Drag - แรงต้านต่ำ)
ซึ่งชิ้นที่เคลื่อนตัวได้จะยกตัวขึ้น และจะพอดีกับส่วนที่ติดตั้งไว้ตายตัว
ช่วยลดแรงต้านเพื่อเพิ่มสมรรถนะขณะวิ่งทางตรง ในขณะที่ตำแหน่ง HD (High
Downforce - แรงกดสูง)
ชิ้นที่เคลื่อนตัวได้จะเลื่อนต่ำลงมาปิดบริเวณที่เป็นช่องให้อากาศระบายออก
ทำให้อากาศไหลไปชนกับส่วนที่ติดตั้งตายตัว เกิดเป็นสนามแรงดันส่วนเกิน
(Overpressure Area) ซึ่งนอกจากจะสร้างแรงกดแล้ว
ยังเบี่ยงอากาศให้ไหลขึ้นตามแนวตั้ง
เพื่อเสริมให้ได้แรงกดสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ที่ด้านหลัง
โดยที่ความเร็ว 250 กม./ชม. จะมีแรงกดถึง 315 กก.
เครื่องยนต์ได้รับผลดีจากการปรับปรุงระบบระบายความร้อนหม้อน้ำด้านหน้าสำหรับระบบหล่อเย็นมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
และใต้ท้องรถมาพร้อมเลย์เอาท์ใหม่ที่ทำให้รถมีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมเช่นกัน
เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถกั้นอากาศที่ออกมาจากหม้อน้ำซึ่งติดตั้งอยู่ก่อนถึงล้อหน้าไว้ได้
ช่องระบายอากาศด้านข้างบริเวณส่วนล่างของกันชนหน้า
แบบเดียวกับที่เคยเห็นใน SF90 Stradale ก็ถูกออกแบบใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อลดแรงดันย้อนกลับ
การเพิ่มทั้งพละกำลังและแรงกดไปพร้อมๆ
กันกลายเป็นความท้าทายใหม่ที่ทีมวิศวกรของเฟอร์รารี่ต้องแก้ไขด้วยการกลับด้านเลย์เอาท์ของหม้อน้ำสำหรับหล่อเย็นซึ่งทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ
และยังช่วยปิดใต้ท้องรถเพื่อเพิ่มพื้นผิวในการสร้างแรงกดด้านหน้าได้อีกทางหนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่สิ่งเหล่านี้
คือสถาปัตยกรรมที่นำมาจาก 296 GT3 รถแข่งคันใหม่ล่าสุด
หม้อน้ำที่จัดวางแบบเอียงต่างระดับกัน
ช่วยเพิ่มสัมประสิทธิ์ด้านแอโรไดนามิกส์และใช้การแยกลมร้อนให้ไหลผ่านและเหนือฝากระโปรงหน้าออกไป
การไหลของอากาศเหล่านี้ถูกควบคุมและแบ่งออกไปยังส่วนบนของรถด้วยช่องอากาศแบบ
S-Duct 2 ช่อง ติดตั้งไว้ฝั่งละช่อง
บริเวณปล่องระบายอากาศที่กลางฝากระโปรง
ที่ส่วนท้ายของรถ
ช่องดักลมที่จัดวางไว้ด้านหน้าทางเข้าอากาศไปสู่อินเตอร์คูลเลอร์
ทำหน้าที่จัดระเบียบและลดความเร็วของการกระจายตัวของอากาศที่จะวิ่งมายังแผงรังผึ้ง
ขณะรถกำลังเคลื่อนที่อากาศเย็นจะไหลลงไปยังห้องเครื่องผ่าน 3 ทางเข้า คือ
ทางเข้าแรกซึ่งอยู่เหนือช่องรับอากาศของอินเตอร์คูลเลอร์ที่ด้านข้างตัวรถ
และทางเข้าที่สองตามแนวขวางของฝากระโปรงท้าย ขณะที่ช่องสุดท้ายแบบ 2
ช่องคู่ ติดตั้งอยู่ที่ด้านข้างของขายึดสปอยเลอร์แบบตายตัวทั้งสองชิ้น
นอกจากนั้น
ยังมีลิ้นด้านหน้า ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่มีอยู่ใน SF90 Stradale
และเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักในอุโมงค์ลม
ช่วยสร้างการไหลของอากาศใต้ท้องรถที่มีพลังสูง
จากนั้นอากาศจะถูกนำไปใช้กับส่วนใต้ท้องรถที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ต่อไป
ดิฟฟิวเซอร์ด้านหน้าที่มีขนาดใหญ่และกว้าง ทำหน้าที่เพิ่มแรงกดมากกว่า 45
กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม.
ด้วยการทำงานร่วมกับตัวสร้างอากาศหมุนวนที่ออกแบบขึ้นใหม่เช่นกัน
แรงกดที่เกิดขึ้นจากใต้ท้องรถจะมีความเสถียรและเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจากพื้นผิวของตัวถังรถที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ
ดังที่กล่าวไปข้างต้น
เฉพาะช่อง S-Ducts ทั้งสองสามารถเพิ่มแรงกดได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับ SF90
Stradale
การใช้ช่องระบายอากาศบริเวณซุ้มล้อหน้าทั้งสองฝั่งก็มีส่วนช่วยในการสร้างแรงกด
ด้วยการดึงอากาศออกจากโพรงซุ้มล้อ ส่งให้แรงกดด้านหน้าของรถมากถึง 325 กก.
ขณะใช้ความเร็วสูงสุด
แรงต้านที่เพิ่มขึ้น
ถูกบริหารจัดการด้วยการเปลี่ยนรูปทรงที่มีผลกระทบต่อค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของตัวถังมากที่สุด
โดยช่องระบายอากาศที่มีขนาดแตกต่างกัน 2 ช่อง
ถูกนำมาใช้กับกันชนหน้าเพื่อลดแรงดันส่วนเกินและเพิ่มประสิทธิภาพ
(ของอากาศ) ในการไหลผ่านตัวถัง โดยช่องแรกติดตั้งไว้ด้านหน้าหม้อน้ำ
เพื่อสร้างบับเบิ้ลบังล้อหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนอีกช่องทำหน้าที่ส่งอากาศที่มีพลังสูงขึ้นไปบนฝากระโปรงโดยตรง
ช่วยกระตุ้นการไหลของอากาศด้านบนและด้านข้างตัวถัง
และยังทำให้มวลอากาศไหลเข้าไปยังหม้อน้ำที่อยู่ด้านข้างได้อีกด้วย
อากาศที่ออกมาจากส่วนหลังของโพรงซุ้มล้อถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการสร้างแรงกดและแรงต้านและพื้นผิวที่ถูกสร้างขึ้นก็ช่วยทำหน้าที่จัดเรียงอากาศที่ออกมาจากล้อให้ไหลไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ดิฟฟิวเซอร์หลังได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อสร้างแรงกดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ดีไซน์ส่วนขอบรอบๆ ส่วนที่ยกสูงขึ้นอย่างประณีต
เพื่อทำให้กระแสอากาศที่ส่วนท้ายรถมีขนาดเล็กที่สุด
ระบบควบคุมไดนามิกส์
สิ่งสำคัญในการพัฒนา
SF90 XX Stradale ขึ้นมา ก็คือการรังสรรค์ Road Car
ที่มีสมรรถนะสูงที่สุดเท่าที่เฟอร์รารี่เคยทำมา
สามารถให้ความสนุกหลังพวงมาลัยได้ถึงขีดสุด
ทว่ายังคงไว้ซึ่งระบบขับเคลื่อนไฮบริดของ SF90 Stradale
สมรรถนะที่สามารถขับขี่ใช้งานได้จริงก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ด้วยโหมดขับเคลื่อนไฟฟ้าล้วนซึ่งส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ระดับสูงทั้งขณะใช้งานในเมืองและการขับขี่ทางไกล
โดยรถสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 135 กม./ชม. ในโหมด eDrive
การเปลี่ยนโหมดจากไฟฟ้าล้วนไปสู่ไฮบริดสามารถทำได้อย่างราบรื่นนุ่มนวล
ด้วยการประสานงานระหว่างระบบขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยไฟฟ้า, เกียร์ DCT 8
จังหวะ, มอเตอร์ไฟฟ้าของล้อหลัง และเครื่องยนต์ V8
จึงมั่นใจได้ว่าจะได้อัตราเร่งที่ต่อเนื่องและปลดปล่อยพละกำลังออกมาอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ฟังก์ชั่น
Torque Vectoring และ Energy Recover ขณะเบรกและถอนคันเร่ง
ทำงานในทุกโหมดการขับขี่ และยังมีการนำระบบ Ferrari Dynamic Enhancer (2.0)
มาใช้เป็นครั้งแรกอีกด้วย ซึ่งก็ทำงานในทุกโหมดที่เลือกผ่านสวิตช์
Manettino และในทุกสภาพการยึดเกาะถนนเช่นกัน ระบบเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยระบบ
Side Slip Control (eSSC) 1.0 ทั้งสิ้น
อีกหนึ่งระบบใหม่ล่าสุดที่เพิ่มขึ้นมาคือ
ระบบควบคุมการเบรก ABS EVO ซึ่งเคยเปิดตัวครั้งแรกไปแล้วในรุ่น 296 GTB
ด้วยการรวมการทำงานเข้ากับเซนเซอร์ 6W-CDS
ที่มีประสิทธิภาพสูงและสามารถเบรกซ้ำๆ ในสภาพถนนแห้งได้ดีขึ้น
ระบบนี้จะทำงานขณะรถมีแรงยึดเกาะถนนสูง และสวิตช์ Manettino อยู่ในตำแหน่ง
Race ขึ้นไป โดยนำข้อมูลจากเซนเซอร์ 6W-CDS
มาใช้ในการคาดการณ์ความเร็วของรถได้อย่างแม่นยำ
ช่วยให้สามารถคาดการณ์การลื่นไถลของล้อทั้งสี่และปรับการกระจายแรงเบรกไปยังแต่ละล้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้
ส่งให้สามารถใช้ประสิทธิภาพการยึดเกาะของหน้ายางได้เต็มที่ยิ่งขึ้นทั้งขณะเบรกในทางตรง
และขณะเลี้ยวในโค้งที่ต้องทำให้ล้อหลังสามารถรับแรงทั้งตามแนวยาวและแนวขวางด้านข้างได้พร้อมกัน
โดยระบบจะเพิ่มการเบรกซ้ำๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการเบรกตามค่าเป้าหมาย
เพื่อลดการสูญเสียประสิทธิภาพซึ่งมาจากชิ้นส่วนต่างๆ
และสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของสภาพสนาม ระบบควบคุมช่วยให้ SF90 XX Stradale
สามารถเบรกได้ลึกขึ้นและเบรกซ้ำๆ ได้มากกว่า
จึงช่วยเพิ่มสมรรถนะของการขับขี่ในสนามได้เป็นอย่างดี
เซนเซอร์
6W-CDS สามารถส่งข้อมูลได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ความสามารถในการวัดทั้งอัตราเร่งและความเร็วของการหมุน (ล้อ) บนทั้งสามแกน
(X, Y, Z) ช่วยให้ระบบควบคุมไดนามิกอื่นๆ
สามารถอ่านพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของรถได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนั้น
อีกหนึ่งระบบที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกกับ SF90 XX Stradale คือ ระบบ Extra
Boost ซึ่งให้พละกำลังเพิ่มเติมในช่วงสั้นๆ
ด้วยหน้าที่ของซอฟต์แวร์ซึ่งจะทำงานในโหมด Qualifying บนสวิตช์ eManettino
นี้ จะให้กำลังเสริมเมื่อรถกำลังเร่งออกจากโค้ง
เฉพาะระบบนี้อย่างเดียวก็สามารถทำให้ลดเวลาต่อรอบที่สนาม Fiorano ลงได้ถึง
0.25 วินาที โดยระบบจะปลดปล่อยสมรรถนะสูงสุดออกมา ร่วมกับการชาร์จแบตเตอรี่
ทั้งยังคอยตรวจสอบสถานะขององค์ประกอบอื่นๆ
เพื่อเพิ่มพละกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาให้สูงที่สุด
กราฟฟิกซึ่งอยู่ด้านขวาของมาตรวัดจะแสดงค่าต่างๆ
ของระบบ Extra Boost และยังแสดงระยะเวลาที่เหลืออยู่ (สูงสุด 30) อีกด้วย
ตรรกะการควบคุมระบบทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ขับจะสามารถเรียกใช้งานได้อย่างน้อยที่สุด
1 รอบสนามขึ้นไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบของแต่ละสนาม
ซึ่งมีพื้นที่ให้สามารถเรียกใช้ระบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงควรใช้เฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่งของสนาม
ที่ไม่ทำให้เวลาต่อรอบลดลง
รถมีการปรับแต่งให้มีบุคลิกที่ยืดหยุ่น
และมีมุมเคลื่อนที่ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของรถขณะอยู่บนขีดจำกัดสูงสุด
ประสิทธิภาพตามแนวแรงกระทำด้านข้างดีขึ้น 9% เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale
ในสภาพการบังคับควบคุมที่ความเร็วสูง โดยเกือบทั้งหมดเป็นผลมาจากดาวน์ฟอร์ซ
ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ การเอียงตัวของรถลดลงถึง 10%
นั่นหมายถึงรถสามารถควบคุมการเอียงตัวขณะเข้าโค้งได้เป็นอย่างดี
และเนื่องจาก
SF90 XX Stradale ให้แรงกดมากกว่า SF90 Stradale
จึงสามารถลดความเร็วได้เร็วกว่า ระบบเบรกจึงได้รับการปรับปรุงใหม่
โดยแม้จะใช้คาลิเปอร์แบบ Aero ของเดิมที่ล้อหน้า
แต่ดิสก์เบรกก็ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
ดิสก์เบรกหลังมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 390 มม.
ขณะที่ผ้าเบรกก็เป็นดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มหน้าสัมผัสกับดิสก์ได้มากยิ่งขึ้น
จึงสามารถเพิ่มการยึดเกาะได้มากกว่าเดิม
การตกแต่งตัวถังภายนอก
SF90
XX Stradale คือเวอร์ชั่นที่สุดขั้วของ SF90 Stradale
ด้วยดีไซน์ที่เน้นความเป็นรถแข่ง
ซึ่งปรับปรุงมาเพื่อให้ขับขี่ได้อย่างถูกกฎหมายบนถนนสาธารณะ นั่นหมายถึง
SF90 XX Stradale ไม่ได้เป็นแค่รถรุ่นพิเศษ แต่ยังเป็นรถกลุ่ม XX
รุ่นแรกที่ออกจากสายพานการผลิต
ซึ่งส่งต่อจุดสูงสุดแห่งเทคโนโลยีของม้าลำพองทั้งเรื่องของศักยภาพด้านแอโรไดนามิกส์และพละกำลัง
ลงสู่ถนนทั่วไป
SF90 XX Stradale ออกแบบโดย Ferrari Styling Centre
ซึ่งมี Flavio Manzoni เป็นแม่ทัพ
นำเอาปรัชญาด้านวิศวกรรมที่เคยสร้างความโดดเด่นให้กับ SF90 Stradale
มาปรับให้สุดขั้วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ต้องปรบมือให้การทำงานร่วมกันระหว่าง Ferrari Styling Centre
และทีมงานฝ่ายเทคนิค จนได้มาซึ่งการปรับแต่งที่เฉพาะเจาะจง
ด้วยแอโรไดนามิกส์ที่ยอดเยี่ยมกว่ารุ่นมาตรฐาน
ในแง่ของคอนเซปต์
ต่อไปนี้คือจุดประสงค์และความตั้งใจของรถกลุ่ม XX:
ลักษณะเฉพาะของรถเป็นผลมาจากแนวทางการออกแบบที่คมคายและมีความสุดขั้วยิ่งขึ้น
สไตล์ของ SF90 XX Stradale มีดีไซน์ที่ไฮไลต์ภาพลักษณ์ของรถสายพันธุ์แรง
ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงไว้ซึ่งเส้นสายและรูปแบบดั้งเดิมของตระกูล
ด้วยเหตุนี้ (ผู้ออกแบบ) จึงตัดสินใจไม่ซ่อนช่องดักอากาศและครีบระบายต่างๆ
ซึ่งเป็นพื้นฐานของการออกแบบสไตล์รถแข่ง ดีไซน์ที่เกี่ยวกับด้านเทคนิคต่างๆ
จึงกลายมาเป็นองค์ประกอบที่ให้ความโดดเด่น ช่องระบายอากาศ 3
ช่องบนแก้มหน้าและหลังทั้งสองฝั่งของ SF90 XX Stradale
เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความโดดเด่นดังกล่าว
ถือเป็นภาษาการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟอร์รารี่
เช่นเดียวกับที่เคยเห็นในรุ่น F12tdf
ดีไซน์ของปีกหลังใน SF90 XX
Stradale คือสิ่งที่ทำให้รถโดดเด่นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนเว้าส่วนโค้งของปีกซึ่งถูกออกแบบใหม่โดยเน้นเรื่องแอโรไดนามิกส์เป็นหลัก
มีความเรียบและเท่ยิ่งขึ้น ทำให้รถมีส่วนท้ายที่ดูทอดยาวเหมือนรถแข่งจริงๆ
ช่องรับอากาศเข้าสู่อินเตอร์คูลเลอร์ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเช่นกัน
ทำหน้าที่ส่งอากาศให้พุ่งตรงไปยังรังผึ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
SF90
XX Stradale ยังเก็บส่วนหน้ารถทรงลูกศรเอาไว้
ด้านบนของไฟหน้าถูกออกแบบให้เรียวขึ้น
โดยถูกนำไปรวมเข้าไว้ในบริเวณแก้มหน้ารถ ติดตั้งเข้าไปในปีกแนวตั้งสองชิ้น
ทำให้การออกแบบมีความสมมาตรยิ่งขึ้น
ช่วยสะท้อนจิตวิญญาณของรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี
องค์ประกอบส่วนหน้าแบบใหม่ที่โดดเด่น
คือปีกด้านล่างขนาดใหญ่ทั้งสองที่ดูเหมือนลอยตัวอยู่
ซึ่งทำหน้าที่จัดการกับกระแสอากาศ ทำให้ SF90 XX Stradale
ดูกว้างและเตี้ยลงติดกับถนนกว่ารถทั่วไป
ท้ายรถโดดเด่นด้วยดีไซน์แบบหางเรือ
เมื่อเทียบกับ SF90 Stradale แล้ว SF90 XX Stradale
มีช่องระบายอากาศด้านหลังล้อขนาดใหญ่กว่า
ส่วนกลางของพื้นที่ทรงหางเรือยังเป็นที่อยู่ของปลายท่อไอเสียคู่อีกด้วย
โดยรูปทรงดังกล่าวออกแบบมาเพื่อเน้นส่วนท้ายให้ดูแบนกว้างอย่างน่าประทับใจ
และนี่คือจุดที่เราประสบความสำเร็จจากการนำคอนเซปต์ของการจัดวางซ้อนกันหลายเลเยอร์มาใช้
และหนึ่งในเลเยอร์ดังกล่าวคือปีกหลังแบบยึดติดตายตัว
ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่เคยมีให้เห็นรถยนต์ที่สามารถขับขี่บนถนนทั่วไปได้อย่างถูกกฎหมายของเฟอร์รารี่อีกเลย
นับตั้งแต่ F50 ในปี 1995
เลเยอร์ต่อมาก็คือแถบไฟท้ายที่ใช้สีเดียวกับตัวรถ
ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่แตกต่างจากคอนเซปต์ไฟท้ายคู่ของ SF90 Stradale
โดยสิ้นเชิง และเลเยอร์ที่ 3 คือสิ่งที่เคยเห็นกันไปแล้วใน SF90
นั่นก็คือสปอยเลอร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของคอนเซปต์ Active Aero
ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Gurney
องค์ประกอบและชิ้นส่วนที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ทั่วทั้งคัน
โดดเด่นสะดุดตาออกมาจากสีตัวถังของรถ
โดยส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนบริเวณส่วนล่างของรถ
เพื่อเน้นย้ำให้เห็นถึงมุมมองด้านเทคนิค
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีความหมายแฝงคือช่องอากาศต่างๆ
ซึ่งมีทรงสี่เหลี่ยมมุมมนทั้งบริเวณฝากระโปรงหน้าและฝาท้าย
ซึ่งช่วยประดับตกแต่งราวกับเป็นลวดลายของรถไปในตัว
ช่องเหล่านี้ใช้สีเดียวกับ End Plate (ชิ้นส่วนปิดปลายฝั่งซ้ายและขวา)
ของปีกหลังคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อความโดดเด่น และยังมาพร้อมกับล้อลาย
Star-Burst ที่มีปีกแอโรไดนามิกส์บนก้านล้ออีกด้วย
ห้องโดยสาร
แนวทางพื้นฐานของดีไซน์ภายในห้องโดยสาร
SF90 XX Stradale คือการเพิ่มความโดดเด่นสไตล์รถแข่งเข้าไป
ผ่านวิธีการต่างๆ ที่ช่วยลดน้ำหนักรถไปในตัว
พื้นที่หลักที่ถูกปรับเปลี่ยนคือแผงประตู อุโมงค์เกียร์ และพรมพื้นรถ
ซึ่งมีรูปทรงที่เรียบง่ายยิ่งขึ้นและใช้ผ้าเป็นวัสดุหลัก
และเปลี่ยนมาใช้คาร์บอนไฟเบอร์สำหรับปุ่มฟังก์ชั่นต่างๆ
ส่วนบนของแดชบอร์ดหุ้มด้วยหนัง Alcantara ขณะที่ส่วนล่างหุ้มด้วยผ้า
ซึ่งทั้งสองพื้นที่ดังกล่าวได้แรงบันดาลใจในการตกแต่งมาจากรถแข่ง
แผงประตูยังคงร่างเงาของธีมที่เคยเห็นอยู่ใน
SF90 Stradale
โดยส่วนที่โค้งตัวยกสูงขึ้นไปประกบกับแดชบอร์ดถูกเพิ่มความโดดเด่นด้วยการใช้สีที่ตัดกับโทนสีหลัก
ช่องระบายอากาศทั้งสามบริเวณในส่วนกลาง
เลียนแบบช่องอากาศบนซุ้มล้อและช่วยสร้างไดนามิก โดยช่องจำนวน 3 ช่อง
สื่อถึงภาษาการออกแบบตัวถังภายนอก
ทั้งยังช่วยหลอมรวมฟังก์ชั่นการใช้งานและการควบคุมเข้าไว้ด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
ภายใต้สไตล์ที่ถูกนิยามขึ้นใหม่นี้
คอนโซลกลางที่ถูกลดขนาดให้เพรียวบางลง
ไม่เพียงน่ามองขึ้น ทว่ายังมีน้ำหนักเบาจนน่าทึ่งอีกด้วย
นอกจากนี้คันเกียร์แบบร่องได้ถูกเปลี่ยนมาติดตั้งไว้กึ่งกลางและขยับมาทางด้านหน้ารถมากขึ้น
เมื่อเทียบกับใน SF90 Stradale สวิตช์กระจกมองข้างและอุปกรณ์หลักอื่นๆ
ย้ายไปอยู่ที่ชั้นถัดมา (ด้านล่าง ต่ำลงมา)
นี่คือธีมการตกแต่งที่ใช้ส่วนเว้าส่วนโค้งมาเพิ่มความโดดเด่น
ทำให้เกิดเป็นการผสานการนำช่องว่างมาใช้งานและโครงสร้างที่แข็งแกร่ง
นำไปสู่คอนโซลกลางที่โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต
ทว่ายังคงฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ไว้ครบถ้วนสะดวกสบาย
เบาะนั่งแบบรถแข่งที่ทำขึ้นมาพิเศษ
พร้อมโครงสร้างที่เผยให้เห็นคาร์บอนไฟเบอร์และเบาะรองนั่งที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มอรรถรสการขับขี่แบบสปอร์ต
แต่ยังคงไม่ละเลยเรื่องความสบายขณะนั่ง
ปุ่มปรับพนักพิงแบบกลไกถูกติดตั้งกลมกลืนไปกับเบาะ
ใช้วัสดุยางยืดเพื่อซ่อนรอยแยกระหว่างเบาะนั่งและพนักพิง
นั่นหมายถึงโครงสร้างเบาะจะดูไร้รอยต่ออยู่ตลอดเวลา เหมือนเบาะแบบชิ้นเดียว
ทว่ายังคงสามารถปรับเอนพนักพิงได้ปกติ
เมื่อรวมกับโครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์แล้ว ฟีเจอร์นี้ช่วยลดน้ำหนักลงไปได้ถึง
1.3 กก. เมื่อเทียบกับเบาะแบบชิ้นเดียวใน SF90 Stradale
SF90 XX SPIDER
Ferrari
Styling Centre ได้นำการปรับแต่งต่างๆ
เหล่านี้มาใช้ในการออกแบบส่วนท้ายของรถ SF90 XX Spider
ให้กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นสะดุดตา
ด้วยเสาหลังคาคู่หลังซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเฟอร์รารี่
หลอมรวมกลมกลืนกับธีมลูกศรของหน้ารถ
ทำให้ดูเหมือนตัวถังรถขยับเลื่อนโน้มมาด้านหน้าและให้สัมผัสที่แตกต่างไปจาก
SF90 XX Stradale โดยสิ้นเชิง
เมื่อมองจากด้านข้าง
จุดศูนย์ถ่วงของรถก็ดูต่ำกว่าความเป็นจริงเช่นกัน
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากหลังคาซึ่งโอบล้อมกระจกหน้าไปจนถึงหน้าต่างได้อย่างไร้รอยต่อเท่านั้น
แต่ยังเป็นเพราะเสาหลังคาที่เตี้ยกว่า SF90 XX Stradale อีกด้วย
แม้โรลล์บาร์จะยื่นออกมาจากตัวถังรถเมื่อเปิดหลังคา
ทว่าทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์จึงดูไม่รกตา
หรือทำให้ภาพลักษณ์ที่หมอบต่ำของเสาหลังคาถูกรบกวน
สิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มรูปโฉมที่ดูเตี้ยให้กับรูปทรงของรถอย่างยิ่ง
เมื่อปิดหลังคา
โรลล์บาร์จะเชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างหลังคาอย่างแนบเนียน
และเช่นเดียวกับโรลล์บาร์ หลังคาก็ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน
กลไกการพับและกางของหลังคาแข็งแบบพับได้ (RHT -Retractable Hard Top)
อันเลื่องชื่อของเฟอร์รารี่ สามารถเปิด-ปิดขณะรถวิ่ง ภายในเวลาเพียง 14
วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 45 กม./ชม.
ช่วยให้ผู้โดยสารได้เพลิดเพลินไปกับการขับขี่ได้ในทุกสภาพอากาศ
โปรแกรมบำรุงรักษา 7 ปี
มาตรฐานคุณภาพที่เหนือชั้นของเฟอร์รารี่และการมุ่งเน้นที่การบริการลูกค้า
เป็นหัวใจสำคัญของโปรแกรมการบำรุงรักษาขยายระยะเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 7 ปี
สำหรับเฟอร์รารี่ SF90 XX Stradale และ SF90 XX Spider
โปรแกรมนี้ครอบคลุมการบำรุงรักษาตามปกติทั้งหมดในช่วง 7 ปีแรกของรถ
การบำรุงรักษาตามกำหนดเวลานี้เป็นบริการพิเศษที่ช่วยให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่ารถของท่านจะมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัยตลอดเวลา
บริการพิเศษนี้มีให้สำหรับผู้ที่ซื้อเฟอร์รารี่มือสองด้วยเช่นกัน
การบำรุงรักษาตามปกติ
(ตามระยะทาง 20,000 กม. หรือปีละครั้ง ไม่จำกัดระยะทาง) อะไหล่แท้
และการตรวจเช็คอย่างพิถีพิถันโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรมโดยตรงที่ศูนย์ฝึกอบรมของเฟอร์รารี่ในมาราเนลโล
โดยใช้เครื่องมือวินิจฉัยที่ทันสมัยที่สุด บริการนี้ครอบคลุมทั่วโลก
รวมถึงตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งหมด
โปรแกรมการบำรุงรักษา 7
ปีนี้ จะขยายขอบเขตของบริการหลังการขายที่เสนอโดยเฟอร์รารี่
เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่ต้องการรักษาประสิทธิภาพและความเป็นเลิศ
อันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์ทุกคันที่สร้างขึ้นจากโรงงานในมาราเนลโล