ติดต่อโฆษณา ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ เชิญร่วมงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือเชิญทดสอบรถ ติดต่อ Car4YouMag

Car4YouMag

หมอศัลยแพทย์เผย การรักษาโรคอ้วนด้วยวิธีการผ่าตัด น้ำหนักลงได้ดีกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ


 

นพ.เสฐียรพงษ์ จันทวิบูลย์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่าตัดผ่านกล้องและการผ่าตัด ลดน้ำหนัก คลินิกโรคอ้วน โรงพยาบาลราชวิถี

โรคอ้วน คืออะไร?

โรคอ้วน คือ ภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมมากผิดปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันพอกตับ โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคเส้นเลือดหัวใจหรือสมองตีบตัน โรคกรดไหลย้อน กระดูกสันหลังหรือกระดูกเข่าเสื่อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย

และปัจจุบันจากข้อมูลของสำนักงานส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติ พบว่า มีคนไทยมีโรคอ้วน มากกว่า 20.8 ล้านคน ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบสุขภาพของประเทศเป็นอย่างมาก จากข้อมูลโรคร่วมที่เกิดขึ้นจากภาวะโรคอ้วน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันและรักษาโรคอ้วนได้อย่างชัดเจน แต่การรักษาด้วยการใช้ยา  การออกกำลังกายหรือการรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ สามารถลดน้ำหนักได้ แต่ไม่สามารถรักษาหรือคงน้ำหนักให้ผู้ป่วยได้ตลอด ผู้ป่วยมักจะมีน้ำหนักตัวกลับมาเพิ่มขึ้นได้ จึงได้มีการรักษาด้วยการผ่าตัดขึ้น ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าละมีผลสามารถคงน้ำหนักได้เป็นระยะเวลานานมากกว่า 7-10 ปีขึ้นไป ในผู้ป่วยมีดัชนีมวลกายไม่มาก สามารถพิจารณาลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายได้

แต่หากผู้ป่วยมีดัชนีมวลกายที่สูงมากมักมีข้อจำกัดในการออกกำลังกายเนื่องจากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับโรคอ้วนร่วมด้วย นอกจากนี้ลำพังเพียงการออกกำลังกายและควบคุมอาหารมักไม่สามารถลดน้ำหนักได้มากเพียงพอที่จะทำให้หายจากโรคประจำตัวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคเข่าเสื่อม โรคไขมันในเลือดสูง โรคไขมันเกาะตับ เป็นต้น

ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกายมากการรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเพื่อลดน้ำหนักและรักษาโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนรวมถึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคอื่นๆที่จะเป็นในอนาคต เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

http://www.medi.co.th/hotnews4/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9_1682428811%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99.jpg

เกณฑ์ดัชนีมวลกาย [ ส่วนสูง (เมตร)/น้ำหนัก2 (กิโลกรัม) ]

น้อยกว่า 18    น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์
18-22.9        สมส่วน
23-24.9        น้ำหนักเกิน
25-29.9        โรคอ้วน
มากกว่า 30    โรคอ้วนอันตราย

การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน คืออะไร?

การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดขนาดกระเพาะให้เล็กลง ร่วมกับลดการดูดซึมของกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก นอกจากนี้ฮอร์โมนความหิวที่ถูกสร้างที่กระเพาะก็จะลดลงหลังผ่าตัดทำให้หลังผ่าตัดความอยากอาหารก็จะลดลงด้วย จุดประสงค์ของผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วนและรักษาโรคร่วมที่มากับโรคอ้วน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันพอกตับ โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น  ทำให้หลังผ่าตัดผู้ป่วยสุขภาพดี แข็งแรงและชีวิตได้อย่างปกติ

การผ่าตัดรักษาโรคอ้วน เหมาะกับใคร?

การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักไม่ได้เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินทุกราย ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างละเอียด ตรวจร่างกายดูความพร้อม และคัดกรองผู้ป่วยที่เหมาะสม ซึ่งมีข้อบ่งชี้ ดังต่อไปนี้

http://www.medi.co.th/hotnews4/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9_1682428811%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%9E.%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C%20%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C.jpg

ผู้ที่ลดความอ้วนด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล โดยมี

1. ค่าดัชนีมวลกาย(BMI) > 27.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วนที่ไม่สามารถคุมได้
2. ค่าดัชนีมวลกาย(BMI) > 32.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน, ความโลหิตดันสูง, ไขมันในเลือดสูง, หยุดหายใจขณะนอนหลับ, ไขมันเกาะตับ เป็นต้น
3. ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 37.5 kg/m2

นพ.เสฐียรพงษ์ จันทวิบูลย์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่าตัดผ่านกล้องและการผ่าตัดลดน้ำหนัก คลินิกโรคอ้วนโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ผู้ป่วยที่ต้องการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนที่ต้องมีการเตรียมตัวและประเมินก่อนผ่าตัด ได้แก่ 1.ผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยต้องเข้าใจว่าการผ่าตัดรักษาที่จะได้รับคืออะไร ความคาดหวังน้ำหนักที่ลดลงได้และโอกาสในการหายจากโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับโรคอ้วน การปฏิบัติตนหลังผ่าตัดต้องทำอย่างไรบ้าง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 

http://www.medi.co.th/hotnews4/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9_1682428811%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA.jpg

การผ่าตัดลดน้ำหนักมีวิธีการอย่างไร?

1. การผ่าตัดแบบสลีฟ (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy) คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะบางส่วนให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% ปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกิดลดลง 60-70% ที่ระยะเวลา 6-12 เดือน

2. การผ่าตัดแบบบายพาส (Laparoscopic Roux-en-y gastric bypass) คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะบางส่วนให้มีขนาดเล็กลงเหลือร่วมกับการทำทางเดินอาหารบายพาสลำไส้เล็กส่วนต้น เพื่อทำให้ทานได้น้อยลงและปรับเปลี่ยนสมดุลฮอร์โมนความอิ่มของร่างกายให้เพิ่มมากขึ้นโดยการกระตุ้นลำไส้เล็กให้สร้างฮอร์โมนความอิ่ม (GLP1,PYY) โดยสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ดีประมาณ 70-80% ที่ระยะเวลา 6-12 เดือน

3. การผ่าตัดแบบสลีฟพลัสบายพาส (Laparoscopic Sleeve Gastrectomy Plus Proximal Jejunal Bypass)  คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดกระเพาะบางส่วนให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% ปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร(Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ร่วมกับการทำบายพาสผ่านลำไส้เล็กส่วนกลางเพื่อกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนความอิ่ม(GLP1,PYY) โดยสามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ดีประมาณ 70-80% ที่ระยะเวลา 6-12 เดือน

สำหรับการผ่าตัดแบบอื่น ๆ เช่น การใส่ห่วงรัดกระเพาะอาหาร (Laparoscopic Gastric Banding) ปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้วเนื่องจากลดน้ำหนักได้ไม่ดีและพบปัญหาห่วงรัดกระเพาะอาหารรัดกระเพาะอาหารจนเป็นแผล

http://www.medi.co.th/hotnews4/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9_1682428811%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9F.jpg

การผ่าตัดลดน้ำหนักช่วยลดน้ำหนักได้อย่างไร? คืออะไร?


กลไกที่ทำให้หลังผ่าตัดแบบสลีฟช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ มีดังนี้

1. ลดขนาดกระเพาะ ทำให้ทานอาหารได้ลดลง
2. ลดบริเวณที่จะดูดซึมอาหาร
3. มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนควบคุมความหิวและความอิ่ม
4. การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหาร
5. มีการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียในลำไส้
6. ลดการอักเสบในร่างกาย

ผลลัพธ์ในการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเป็นอย่างไร ใช้ระยะเวลาเท่าไรกว่าจะเห็นผลชัดเจน?

จากข้อมูลและงานวิจัยทางการแพทย์ในปัจจุบัน พบว่าหลังการผ่าตัดลดน้ำหนัก ผู้ป่วยจะมีน้ำหนักส่วนเกิดลดลงสูงถึง 60-80% โดยใช้ระยะเวลาหลังผ่าตัดประมาณ 6-12 เดือน ส่วนโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น หายจากโรคเบาหวานหรืออาการดีขึ้น >80%, หายจากโรคความดันโลหิตสูง 60-70%, หายจากโรคไขมันในเลือดสูง 80-90% นอกจากนี้น้ำหนักที่ลดลงจะช่วยป้องกันโรคเข่าเสื่อม, กระดูกสันหลังเสื่อม, ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดสมอง/หัวใจตีบตันอีกด้วย

http://www.medi.co.th/hotnews4/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9_1682428811%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%9F%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA.jpg

การผ่าตัดลดน้ำหนัก อันตรายไหม? 

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์ผ่าตัดที่ทันสมัยและความชำนาญของศัลยแพทย์ผ่าตัดประสบกาณ์ผ่าตัดสูงและจบเฉพาะทางด้านการผ่าตัดโรคอ้วน พบว่าความเสี่ยงจากการผ่าตัดต่ำมาก ขนาดแผลประมาณ 5-10 มิลลิเมตร เย็บแผลด้วยไหมละลาย และปิดแผลแบบกันน้ำ ผู้ป่วยจึงฟื้นตัวได้เร็ว เจ็บแผลน้อยมาก และลุกเดินได้หลังผ่าตัด 1-2 วัน นอกจากนี้ในกระบวนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดก็ยังมีทีมสหสาขาวิชาชีพร่วมกันดูแลผู้ป่วยอย่างละเอียด เพื่อให้การผ่าตัดลดน้ำหนักประสบความสำเร็จและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ให้น้อยที่สุด

อาการที่ต้องระวังหลังผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก?

ความเสี่ยงโดยทั่วไปหลังการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนัก คือ ภาะวะเลือดออกในช่องท้อง, กระเพาะรั่ว, ลิ่มเลือดดำอุดตัน เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปพบน้อยกว่า 1% ในศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ โดยหากมีอาการไข้ ปวดท้อง ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ อาเจียนตลอดหลังทานอาหาร ให้รีบติดต่อแจ้งแพทย์และพยาบาลได้ทันที

โดยสรุปการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคอ้วน (Bariatric Surgery) ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้สามารถทำให้ผู้ป่วยลด น้ำหนักลงได้ดีกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ และยังทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคร่วมมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การจะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดแบบไหนขึ้นอยู่กับศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมกับคนไข้ว่าจะเลือกวิธีการผ่าตัดแบบไหน เพื่อให้ได้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

สำหรับผู้ป่วยสามารถเข้ารับการปรึกษาได้ที่ คลินิกโรคอ้วน ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอกศัลยกรรมชั้น 9 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลราชวิถี ทุกวันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 1,3,5 ของแต่ละเดือน เวลา 13.00-16.00 น. โดยสามารถติดต่อปรึกษาและจองคิวเข้าพบแพทย์ผ่านทางเพจ คลินิกโรคอ้วน โรงพยาบาลราชวิถี

25/4/2566

ขับเคลื่อนโดย Blogger.